1.1 เครื่องวัดเสียง NTi รุ่น XL2
1.2 ไมโครโฟน Class2 รุ่น M4261
1.3 อุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียง MR-PRO
1.4 สายสัญญาณ ASD
1.5 ฟังก์ชั่น STIPA
1.6 ฟังก์ชั่น Spectral Limits Option
วัดความดังได้ตั้งแต่
10 dBA-150 dB(Peak)
ข้อมูลผลวัดบันทึกไว้ใน
SD Card สามารถถอดไปดึงข้อมูล
ผ่าน Card Reader ได้ทันที
ในรูปแบบ ของ Text file สามารถ
นำข้อมูลไปวิเคราะห์ด้วย Excel หรือ โปรแกรม Data Explosure ได้
วิเคราะห์ระดับเสียงได้ทั้งแบบ
1/1 และ 1/3 ออกเตฟ
ตั้งแต่ 6.3 - 20,000 Hz
งานที่ Sound Engineer, Audio Engineer, Acoustical Engineer จะต้องทำกันประจำ คงหนีไม่พ้นการติดตั้งระบบเสียง และการตรวจสอบว่าเสียงภายในห้องหลังจากติดตั้งระบบเสียงไปแล้วมีคุณภาพเสียงดีพอสำหรับการใช้งานครับ
แน่นอนว่าการทำให้เสียงในห้องดี ไม่ได้เกี่ยวกับกับลำโพงคุณภาพดี ยี่ห้อดังๆ ราคาแพงอย่างเดียวแน่ๆ
มันยังขึ้นกับการติดตั้งร่วมกันทั้งระบบอย่างถูกต้องเหมาะสม
การต่อสายไฟหรือสัญญาณถูกต้อง ทำให้ลำโพงทำงานในทิศทางเดียวกัน (เราต้องเช็ค Polarity)
ลำโพงให้เสียงครบทุกอย่างความถี่ตามคุณสมบัติของลำโพงหรือไม่ (เราต้องเช็คสเปกตรัมของเสียงที่ลำโพงขับออกมา RTA)
ระบบมี Noise รบกวนหรือเปล่า เช่น ต่อสายพ่วงกันมากเกินไป ระบบไฟที่ใช้ไม่สะอาด ต่อสายดินไม่ดี (เราเช็คได้จาก Total Harmonic distorsion THD+N)
ยังไม่พอครับ ต่อเสร็จ ดันเสียงไม่ออก ไล่ดูแล้วต่อถูกหมด หรือสายสัญญาณเสีย ?? (ใช้ Cable test ตรวจสอบได้)
เสียงจากลำโพงหลักดังไม่พอ ไม่ครอบคลุมทั่วพื้นที่คนฟัง ต้องเพิ่มลำโพง Delay (ต้องวัดระยะเสียงที่ Delay เพื่อไปตั้งเวลา Dealy ของลำโพงเสริมที่ Processor)
ต่อมา ระบบเครื่องเสียง Perfect ต้องห้องห่วย มีเสียงรบกวนจากเสียงแอร์ หรือจากเสียงภายนอก ทำให้เสียงจากลำโพง ฟังไม่ชัด ก่อนติดตั้งระบบ Sound Engineer ขั้นเทพ จะต้อง Survery หน้างาน วัดค่าความเงียบห้อง (NC) เพื่อวางแผนรับมือก่อนงานติดตั้งจริง
อีกปัจจัยที่ลืมไม่ได้คือ ความก้องห้อง ต่อให้ใช้ลำโพงดีที่สุดในโลก แต่เปิดให้ห้องที่เสียงก้องมาก ๆ ยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะความก้องในห้องที่มากไป
การ Survery ห้อง และควบคุมความก้องในห้องก่อนติดตั้งระบบเสียง ก็เป็นสิ่งที่วัดว่า Sound Engineer เก๋าจริงหรือเปล่า ??
หรือสมัยใหม่ วัดเพียงแค่ค่า STIPA ก็บอกได้เลยว่าระบบเสียงภายในห้องนี้พร้อมใช้งานหรือยังคนฟังฟังได้ชัดแน่ๆ หรือเปล่า
ทั้งหมดที่กล่าวมา ต้องใช้อุปกรณ์กี่ชุด แบกกล่องไปกี่กล่อง
แต่ถ้ามี NTi XL2 และ MR-PRO เท่านั้น
Professional Sound Engineer และ Audio Engineer ก็สามารถติดตั้งระบบ และตรวจสอบความพร้อมในการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
เพราะเวลาคือสิ่งสำคัญที่จะวัดความเก๋า ความเชี่ยวชาญ สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้าผู้ว่าจ้าง
หลายครั้งเวลาในการทำงานติดตั้งและปรับแต่งให้เสียงออกสมบูรณ์แบบมันน้อยเหลือเกิน เครื่องมือที่ออกแบบให้พร้อมใช้งาน ลดเวลา Setup จำเป็นมากในการทำงานครับ
แต่สำหรับเครื่องวัดเสียง XL2 แค่กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วใช้งานได้ทันที
ปุ่มแสดง 3 สี (เขียว เหลือง แดง)
ตามค่าระดับเสียงที่กำหนด
บันทึกข้อความเสียง
เพื่อเตือนความจำ
ระหว่างการวัด
ตรวจวัด
RTA
Polarity
Delay
RT60
NC (ซื้ออปชั่นเพิ่ม)
STIPA (ซื้ออปชั่นเพิ่ม)
M4160 ไมโครโฟร Class
ตามมาตรฐาน IEC 61672
มีเอกสารสอบเทียบตาม
มาตรฐาน IEC จากโรงงานผู้ผลิต
ตั้งเวลาให้เครื่องทำการเปิดและ
ตรวจวัดระดับเสียงได้อัตโนมัติ
โดยไม่ต้องควบคุมจาก
ผู้ทำการตรวจวัด
สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง
ถ่าน Li-PO (สูงสุด 6 ชั่วโมง)
หรือถ่านแบบ AA จำนวน 4 ก้อน
(สูงสุด 22-24 ชั่วโมง)
บันทึกเสียงที่วัด
ในรูปแบบของ Wav file
เพื่อใช้ฟังเสียงที่ถูกวัด
ในภายหลังเพื่อการวิเคราะห์ได้
Line id: satan_boat
2.1 การทดสอบสายสัญญาณ (Cable Test)
2.3 การทำสอบความต้านทานของระบบ (Impedance)
2.4 การทดสอบทิศทางการเคลื่อนที่ของลำโพง (Polarity)
2.5 การทดสอบความถี่ของเสียง (Frequency Response)
2.7 การทดสอบความเงียบภายในห้อง (Noise Curve)
2.8 การทดสอบความก้องภายในห้อง (RT60)
2.9 การทดสอบความชัดเจนของเสียงพูด STIPA